หากชีวิตเหลือเพียงวินาทีเดียว

0 1,232

หากชีวิตเหลือเพียงวินาทีเดียว

หากชีวิตเหลือเพียงวินาทีเดียว การใช้ชีวิตอีกรูปแบบหนึ่ง สาระสำคัญคือการเจริญภาวนา แก่นของการภาวนาคือการไม่เข้าไปในอำนาจของความคิด ดังนั้นการปฏิบัติของเราก็คือการเร้าความรู้สึกตัวเพื่อเห็นความคิด
สิ่งที่เรียกว่าความรู้สึกตัวนี้เป็นคำพูดดาดๆ แต่ถ้าเรารู้จักหน้าตามันเราจะพบว่าความรู้สึกนี้เองเป็นทั้งหมดของการดำรงชีวิต โดยปกติวิสัยธรรมดาสามัญ ความรู้สึกตัวที่เป็นสุขหรือทุกข์ ขึ้นอยู่กับความคิด  ไปในทางที่จะได้สิ่งที่มุ่งหวังหรือกำลังจะได้  หรือได้แล้วก็จะรู้สึกเป็นสุข ในทางกลับกันถ้าคิดถึงสิ่งที่กำลังผิดพลาดหรือได้ผิดพลาดไปแล้ว  เราก็จะเกิดความรู้สึกระทมทุกข์  ความรู้สึกของคนธรรมดาสามัญเกิดจากจากความคิดในเรื่องได้หรือไม่ได้  ในเรื่องถูกหรือผิด  แล้วก็เกิดความรู้สึกเป็นสุขบ้างเป็นทุกข์บ้างคลุกเคล้ากันไป  แต่ความรู้สึกล้วนๆ นั้นไม่เกี่ยวกับความคิด จึงเป็นเรื่องของมันเอง
เพื่อที่จะทำความกระจ่างในเรื่องนี้ เราต้องศึกษาที่ตัวเราเอง  การศึกษาที่ตัวเราเองจะเกิดขึ้นขณะที่เราถูกตัดขาดจากถ้อยคำ คำพูดนั้นไม่อาจเปิดเผยความจริงได้  ดังนั้นผู้ที่พูดอยู่ข้างในตลอดเวลา  หรือผู้ที่ติดอยู่กับความคิดมากๆ ย่อมยอมรับความจริงจากความรู้ตัวล้วนๆได้ยาก  เพราะว่าความจริงนั้นก็คือ ความรู้สึกได้นั่นเอง เรารู้สึกได้โดยตรง  ส่วนความจริงที่เรารู้สึกไม่ได้ เช่นเราคิดถึงเหตุการณ์ที่เกิดแก่เราเมื่อวานหรืออาจจะเกิดในวันพรุ่งนี้  นั้นคือแบบจำลองที่สมองสร้างสถานการณ์ขึ้นใหม่ ผ่านทางกระบวนการของความจำ เราก็รู้สึกเป็นอารมณ์ สุข ทุกข์ หรือไม่ก็วิตก กังวล กลัว เหงา ว้าเหว่ คนทั่วไปถูกกระทำจากความคิดซ้ำแล้วซ้ำเล่าทุกๆวัน ปีแล้วปีเล่า เราได้แต่ทนทุกข์ทรมาน แล้วไม่สามารถหาทางออกจากความหม่นหมอง เจ็บปวด แบกรับความรู้สึกที่ทุกข์และหนักขึ้นทุกวัน  ซึ่งเป็นที่มาของคำว่า ปุถุชน ซึ่งแปลว่า คนหนัก คนทึบ
ดังนั้นผู้ที่เจริญภาวนามากๆ จะรู้สึกซึ้งถึงเสน่ห์ของความโดดเดี่ยว รู้สึกถึงความดีงามดั้งเดิม ไม่ต้องลงแรงหา ไม่ต้องซื้อ หรือจ่ายเงิน เพื่อให้ได้มา เพียงแต่เรารู้สึกตัวล้วนๆ จะรู้สึกถึงความเงียบแล่นผ่านหัวใจของผู้ซึ่งรู้สึกตัวได้ และนั่นหมายความว่าเขากำลังก้าวออกจากความทุกข์ทรมานซึ่งมนุษย์ทั่วไปกำลังเผชิญหรือเป็นอยู่ แท้จริงสิ่งที่คาดไม่ถึงนั่นแหละคือความจริง เพราะสิ่งที่เจอในชีวิตประจำวันนั้นที่คาดถึงได้ เป็นสิ่งสมมุติ สิ่งเราที่เราคิดถึงมันได้ สิ่งนั้นไม่จีรัง
แต่ถ้าเมื่อใดก็ตามความรู้สึกของตัวเราต่อเนื่องกันขึ้นนั้นไม่รู้อะไรเลย คิดเท่าไหร่ก็คิดไม่ออกจนในที่สุดความคิดก็ขาดสะบั้นลง ความจริงที่เหนือคิดก็ปรากฎออก ข้อเท็จจริงของชีวิตก็คือ ทุกๆวัน เราดำเนินไปบนรากฐานของความจริง แม้เราจะคิดถึงพรุ่งนี้ แต่พรุ่งนี้ก็จะเปิดเผยตัวเองอยู่ในรูปของความจริงเท่านั้น  ปฏิบัติภาวนาให้มากแล้วจะเข้าถึงซึ่งความจริงของชีวิตและก้าวไปอีกระดับหนึ่ง ลึกซึ้งขึ้นเป็นลำดับตามความเพียรในการปฏิบัติภาวนา
เกี่ยวเนื่องกับเรื่อง  ทวนกระแสความคิดเพื่อความรู้แจ้ง
เครดิต: เขมานันทะ
ทิ้งคำตอบไว้